ตามที่คณะกรรมการบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) ได้ออกประกาศกลุ่มบริษัท ฉบับที่ 1/2565 เรื่องนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 โดยให้มีผลบังคับใช้กับ บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) และ บริษัทในกลุ่มทั้งหมด อันได้แก่ บริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น เซอร์วิสเซส แอนด์ โปรดักส์ จํากัด, บริษัท เดอะ ซี.อี.ซี. คอนสตรัคชั่น จำกัด และ บริษัท ซีวิล เอส.ที.ที. จำกัด (“บริษัท”)

อาศัยอำนาจตามประกาศนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวข้างต้น และ เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ท่านกรุณาศึกษานโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้อย่างละเอียด ก่อนที่ท่านจะส่งข้อมูลการเสนอราคาและข้อมูลอื่น ๆ ให้แก่บริษัท ทั้งนี้บริษัทรับประกันจะรักษาข้อมูลทั้งหมดตามมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยโดยสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการพิจารณาคุณสมบัติและลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับท่าน หากท่านปฏิเสธการให้ข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้ในนโยบายฉบับนี้

ข้อที่ 1 คำจำกัดความ

“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ที่ได้ถึงแก่กรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

(ก) ได้รับโดยตรงจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

(ข) ได้รับจากคู่ค้าของบริษัท ในฐานะการเป็นนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

(ค) ได้รับจากการรวบรวม การประเมินผล และจัดทำข้อมูลดังกล่าวขึ้นเพิ่มเติม โดยบริษัทเอง ในฐานะผู้ว่าจ้างระหว่างการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาจ้างและข้อกำหนดที่บริษัทกำหนด

“คู่ค้า” หมายถึง ผู้ว่าจ้าง ผู้ขายสินค้า ผู้รับจ้าง ผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ พันธมิตรของบริษัทใด ๆ ที่มีนิติสัมพันธ์กับบริษัทฯ ทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา

“ตัวแทนคู่ค้า” หมายถึง กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน บุคลากร และลูกจ้างที่อยู่ภายใต้สัญญาจ้าง หรืออำนาจควบคุมของคู่ค้า

ข้อที่ 2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บและประมวลผล

ในระหว่างกระบวนการเจรจาธุรกิจ การจัดซื้อจัดจ้าง และการซื้อขายสินค้า และใช้บริการระหว่างบริษัทและท่านในฐานะคู่ค้าและผู้ร่วมค้า บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือตัวแทนของท่านซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา จากท่านโดยตรง ตามเอกสารข้อมูลในใบเสนอราคา การสนทนา หรือการสัมภาษณ์ หรืออาจได้รับจากบุคคลอื่นที่อาจแนะนำท่านแก่บริษัท ทั้งนี้ข้อมูลที่บริษัทมีความจำเป็นต้องประมวลผลในกระบวนการดังกล่าวอาจรวมถึง ข้อมูลดังต่อไปนี้

  1. ชื่อนามสกุล ข้อมูลบัตรประจำประชาชนของท่าน หรือของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ผู้รับมอบอำนาจ หรือตัวแทนของท่านที่เป็นบุคคลธรรมดา รวมถึงข้อมูลการติดต่อ อาทิ ที่อยู่ สถานที่ติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และอาจรวมถึงข้อมูล เอกสารแสดงตัวตนของบุคคลดังกล่าว
  2. ข้อมูลการชำระเงิน อาทิเช่น บัญชีธนาคาร ประวัติการเบิกจ่ายเงิน ของท่านที่เกี่ยวข้องกับนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน
  3. ข้อมูลประวัติการทำงาน และแบบประเมินความสามารถและการวัดผล รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ซึ่งท่านอาจนำส่งหรือเปิดเผยให้แก่บริษัท ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ที่คู่ค้าอาจต้องดำเนินการภายใต้กรอบสัญญาที่มีการลงนามระหว่างบริษัทและท่าน

นอกเหนือจากข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และ/หรือ ตัวแทนของท่านแล้ว ในกรณีที่ท่านนำส่งข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เกี่ยว ข้องอื่นภายใต้การคุ้มครองของท่านให้แก่บริษัท รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงรายชื่อทีมงานหรือพนักงานที่จะเข้ามาให้บริการและปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ท่านมีหน้าที่ต้องดำเนินการภายในพื้นที่ของบริษัท เมื่อบริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว บริษัทจะถือว่าท่านรับประกันสิทธิในการส่งต่อและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เกี่ยวข้องดังกล่าวให้แก่บริษัท และบริษัทย่อมมีสิทธิในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลเหล่านั้นได้สมบูรณ์ภายใต้นโยบายฉบับนี้

ข้อที่ 3 วัตถุประสงค์การเก็บ และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บ รวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

  1. การตรวจสอบยืนยันตัวตน รวมถึงความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่ท่านให้แก่บริษัท การประเมินความเหมาะสมของท่านในงานที่บริษัทต้องการจะร่วมธุรกิจ หรือประสงค์จะจัดซื้อหรือจัดจ้าง รวมถึงการติดต่อประสานงานกับท่านระหว่างกระบวนการ จนถึงการจัดทำสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท และแม้เป็นกรณีที่ท่านไม่ได้รับการคัดเลือกในกระบวนการพิจารณา บริษัทสงวนสิทธิ์ในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไว้ต่อเนื่องเพื่อการติดตามตรวจสอบกระบวนการพิจารณาเป็นระยะเวลา 5 ปีปฏิทินนับจากเสร็จสิ้นกระบวนการดังกล่าว
  2. การปฏิบัติหน้าที่ของบริษัทภายใต้สัญญาที่ลงนามระหว่างท่านกับบริษัท ได้แก่ การประเมินผลงานและประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อการคำนวณค่าตอบแทน รวมถึงการปฏิบัติบังคับสิทธิและหน้าที่อื่น ภายใต้สัญญาที่มีการลงนามระหว่างบริษัทและท่านดังกล่าว ทั้งนี้ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวอาจรวมถึงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน บุคคลภายใต้สังกัด และผู้ให้บริการภายนอกของท่าน ที่ท่านได้นำส่งให้แก่บริษัทด้วยทั้งหมด
  3. การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทโดยเฉพาะการทำบัญชีและการชำระภาษี
  4. การคุ้มครองสิทธิประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เมื่อต้องดำเนินการบังคับสิทธิที่บริษัทต่อท่านที่อาจปฏิบัติไม่สอดคล้องหรือละเมิดหน้าที่ที่กำหนดไว้ภายใต้สัญญาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงใช้ในการปกป้องสิทธิในการฟ้องร้องคดี

โดยทั่วไป บริษัทไม่มีเจตนาและความประสงค์ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ แต่ในกรณีที่ บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนของท่าน อันหมายความถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นส่วนตัว อันละเอียดอ่อน และมีความเสี่ยงจากการถูกนำไปใช้ในการเลือกปฏิบัติ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อทางศาสนา หรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลทางชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลในลักษณะเดียวกับที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของกำหนด บริษัทจะดำเนินการขอความยินยอมจากท่านก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูลทุกครั้ง

ข้อที่ 4 ระยะเวลาการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

เพื่อวัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังที่ระบุไว้ดังกล่าว บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทั้งหมดที่นำส่งให้แก่บริษัทไว้ ดังนี้

  1. ในกระบวนการเสนอข้อตกลงหรือเสนอราคา เพื่อร่วมธุรกิจ บริษัทสงวนสิทธิ์ในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ เพื่อการติดตามตรวจสอบกระบวนการพิจารณาเป็นระยะเวลา 5 ปีปฏิทินนับจากเสร็จสิ้นกระบวนการดังกล่าว แม้เป็นกรณีที่ท่านไม่ได้รับการคัดเลือกในกระบวนการ
  2. หากคู่ค้ารายใดได้รับการคัดเลือก บริษัทสงวนสิทธิ์ในการเก็บรักษาและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดระยะเวลาสัญญาที่บริษัทอาจมีกับคู่ค้าแต่ละราย นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์ในการปกป้องสิทธิของบริษัทภายใต้สัญญาที่เกี่ยวข้อง บริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของคู่ค้าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมตามกำหนดอายุความ เพื่อการปกป้องและคุ้มครองสิทธิของบริษัทในกรณีเกิดข้อพิพาทต่าง ๆ ตามระยะเวลาอายุความที่ตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี และในกรณีที่บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล บริษัทมีความจำเป็นต้องรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้าไว้ตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด

ทั้งนี้ เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว บริษัทจะทำการลบ ทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อหมดความจำเป็นในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีข้อพิพาทหรือคดีความเกี่ยวกับการดำเนินการของท่าน บริษัทขอสงวนสิทธิในการเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปจนกว่าข้อพิพาทนั้นจะได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว

ข้อที่ 5 การเปิดเผยหรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล

ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้แก่บริษัทจะไม่ได้รับการเปิดเผยให้แก่บุคคลภายนอก อย่างไรก็ตามในบางกรณีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการเปิดเผยให้แก่บุคคล ดังต่อไปนี้

  1. เปิดเผยให้แก่ บริษัทในเครือ พันธมิตรทางธุรกิจ บริษัทที่ปรึกษา ผู้ว่าจ้างของบริษัท บริษัทตรวจสอบบัญชี หรือ ผู้ให้บริการภายนอกที่ให้บริการสนับสนุนบริษัท ในการดำเนินธุรกิจและการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัท โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการงานที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โดยบริษัทจะดำเนินการดังกล่าวเท่าที่จำเป็น และภายใต้กรอบข้อตกลงสัญญาการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างบริษัทและบุคคลภายนอกเท่านั้น
  2. ในกรณีที่บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมาย หรืออยู่ภายใต้บังคับคำพิพากษา หรือคำสั่งของหน่วยงานราชการ บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่หน่วยงานดังกล่าว เพื่อเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ที่มีตามกฎหมาย โดยบริษัทจะดำเนินการเพียงเท่าที่จำเป็นตามหน้าที่ดังกล่าวเท่านั้น
  3. หน่วยงานอื่นซึ่งท่านเคยได้ให้ความยินยอมโดยชัดแจ้งให้บริษัทสามารถเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้

ข้อที่ 6 มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในข้อมูลที่เหมาะสม

บริษัทรับประกันจัดให้มีมาตรการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึงการใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้า โดยปราศจากอำนาจ หรือโดยมิชอบ ทั้งนี้บริษัทจะจัดให้มีการทบทวนมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยดังกล่าว อย่างสม่ำเสมอเป็นปกติ เพื่อความเหมาะสมตามมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ บริษัทได้กำหนดให้มีนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) ขึ้นโดยประกาศให้ทราบกันโดยทั่วทั้งองค์กร พร้อมแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยธำรงไว้ซึ่งความเป็นความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วน (Integrity) และสภาพพร้อมใช้งาน (Availability) ของข้อมูลส่วนบุคคล โดยได้จัดให้มีการทบทวนนโยบายดังกล่าวรวมถึงประกาศนี้ในระยะเวลาตามที่เหมาะสม

บริษัทได้กำหนดให้พนักงาน เจ้าหน้าที่และบุคคลเฉพาะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกิจกรรมการประมวลผลนี้เท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ โดยองค์กรจะดำเนินการให้เจ้าหน้าที่และบุคคลดังกล่าวปฏิบัติตามประกาศนี้อย่างเคร่งครัด ในกรณีที่พนักงานคนใดมีสิทธิเข้าถึงหรือดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลส่วนใด พนักงานดังกล่าวยอมรับและรับทราบหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยรับประกันชดเชยและชดใช้ให้แก่บริษัทกรณีที่เกิดความเสียหายใดแก่บริษัท อันเกิดจากความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานดังกล่าว

ข้อ 7 สิทธิของเจ้าของข้อมูล

บริษัทรับทราบและเคารพสิทธิตามกฎหมายของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิของท่านในข้อนี้เป็นสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่ท่านควรทราบ ดังนี้

  1. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมให้บริษัท เก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความยินยอม ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัท เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมายหรือมีสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ ทั้งนี้การเพิกถอนความยินยอมอาจส่งผลกระทบต่อท่าน โปรดศึกษาหรือสอบถามถึงผลกระทบก่อนเพิกถอนความยินยอม เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง
  2. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และขอให้บริษัท ทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้กับท่าน รวมถึงขอให้บริษัท เปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมไว้กับบริษัทได้ หากท่านเป็นพนักงานปัจจุบันของบริษัท ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ด้วยตนเอง ผ่านระบบของบริษัท
  3. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัท ได้ทำให้ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัท ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่สามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิค
  4. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนั้น ทำขึ้นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท โดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล เว้นแต่เป็นกรณีที่บริษัท สามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยัน การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมายตามแต่กรณี
  5. สิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัท ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเห็นว่าบริษัท หมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้ หรือเมื่อท่านได้ใช้สิทธิขอเพิกถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูล
  6. สิทธิในการขอระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัท ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านชั่วคราว ในกรณีที่บริษัท อยู่ระหว่างการตรวจสอบคำร้องขอใช้สิทธิแก้ไขหรือขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือกรณีที่บริษัท หมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ท่านขอให้บริษัท ระงับการใช้แทน
  7. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัท แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากท่านเป็นพนักงานหรือบุคลากรปัจจุบันของบริษัท ท่านสามารถปรับปรุงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ตามขั้นตอนดำเนินการของบริษัท
  8. สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิที่จะร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การใช้สิทธิของท่านตามข้างต้นอาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีบางกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่บริษัท อาจปฏิเสธหรือไม่สามารถดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิของท่านได้ เช่น บริษัท จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือการใช้สิทธินั้นๆ อาจละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือบริษัท จำเป็นต้องใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าว โดยบริษัท จะแจ้งเหตุผลของการปฏิเสธให้ท่านทราบ

ข้อ 8 การเปลี่ยนแปลงแก้ไขนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทอาจพิจารณาปรับปรุง แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงประกาศนี้ตามที่เห็นสมควร และจะทำการแจ้งให้ท่านทราบผ่านช่องทางต่าง ๆ บริษัท โดยจะมีวันที่ของการเปลี่ยนแปลงล่าสุดกำกับอยู่ตอนท้าย อย่างไรก็ดี บริษัทขอแนะนำให้ท่านโปรดตรวจสอบเพื่อรับทราบประกาศฉบับใหม่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนที่ท่านจะทำการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

การยื่นสมัครงานของท่าน ถือเป็นการรับทราบตามข้อตกลงในประกาศนี้ ทั้งนี้ โปรดระงับการยื่นสมัครงานหรือติดต่อฝ่ายทรัพยากรบุคคลหากท่านไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงในประกาศฉบับนี้ มิเช่นนั้นบริษัทจะถือว่าท่านได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในประกาศดังกล่าวแล้ว

ข้อ 9 ช่องทางการติดต่อบริษัท

หากท่านมีข้อเสนอแนะ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการขอใช้สิทธิของท่านตามนโยบายฉบับนี้ บริษัทจะพิจารณาข้อเสนอ ข้อสอบถาม หรือคำร้องของท่าน และแจ้งผลการพิจารณาให้ท่านรับทราบภายในกรอบระยะเวลาที่เหมาะสมภายใต้กรอบกฎหมาย โดยท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทได้ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้

โทรศัพท์:
สถานที่ติดต่อ:
บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) เลขที่ 68/12 อาคารซีอีซี ชั้น 7 ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900